วันอาทิตย์ที่ 22 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

แปะตำปึง


    -แปะตำปึง หรือ จักรนารายณ์ สมุนไพรสรรพคุณครอบจักรวาล
    ต้นกำเนิด : ต้นยานี้มาจากประเทศจีน บางท่านเรียกว่า จินฉี่เหมาเยี่ย เข้ามาในไทยพร้อมกับหญ้าปักกิ่งหรือหญ้าเทวดา
    แปะตำปึง ถูกตั้งชื่อเป็นไทยว่า จักรนารายณ์ แต่มีชื่อเรียกหลากหลาย เช่น กิมกอยมอเช่า หรือ ผักพันปี เป็นต้น

    แก้ไขเมื่อ 21 พ.ย. 48 06:23:53

      สรรพคุณ : สรรพคุณของทั้งสองมีเหมือนกัน มีรสเย็น ใช้ใบเป็นยา รสชาติคล้ายใบชมพู่สาแหรก โรคที่(มีผู้รับรองว่า)สมุนไพรชนิดนี้รักษาหายแล้วได้แก่ เบาหวาน ความดันสูง ภูมิแพ้ หอบหืด มะเร็ง งูสวัด เกาต์ ริดสีดวงทวารหนัก ขับนิ่ว แผลสะเก็ดเงิน แผลอักเสบ-พุพอง-ฝีหนอง ปวดประจำเดือน ปวดเส้น ปวดหลัง ไขมันในเลือด ไทรอยด์ ตาอักเสบ ตาเป็นต้อ โรคตาต่างๆ ปวดเหงือก ปวดฟัน โรคกระเพาะอาหาร โรคหัวใจ โลหิตจาง ฟอกเลือด ล้างสารพิษในร่างกาย ขับลม กินได้ นอนหลับ คนปกติทั่วไปกินแล้วสุขภาพแข็งแรง เรียกว่าเป็นสมุนไพรครอบจักรวาลเลยทีเดียว
      การขยายพันธุ์ : หลังจากเด็ดใบมากินหมดแล้ว ให้ตัดกิ่งออกเป็นท่อนๆยาว 10-15 ซ.ม. นำมาปักชำ ไว้ในที่รำไรและหมั่นรดน้ำเสมอๆ ประมาณ 7-10 วัน ก็จะแตกยอด-ออกรากเป็นต้นใหม่  เมื่อโตเต็มที่จะออกดอกสีเหลือง แต่ไม่ติดเมล็ด (ของพ่อด้วงเคยติดเมล็ดนะแต่เพาะไม่ขึ้น) ต้องปักชำกิ่งเท่านั้น  พืชชนิดนี้ไม่ชอบร่มมากนัก ชอบดินร่วน ชอบแดดพอควร ชอบน้ำ แต่อย่าให้มีที่รองน้ำก้นกระถาง รากจะเน่า
      (รูปของดอกใบยาวครับ แฮ็บรูปของคุณดอกสารภีมาอีกที อิอิ)




    Posted by NiTa , ผู้อ่าน : 21530 , 13:50:55 น.  
    หมวด : สุขภาพความงาม 

     พิมพ์หน้านี้ 
      โหวต 0 คน 

    ต้นแปะตำปึง
    เมื่อประมาณ 2 สัปดาห์ก่อน มีโอกาสได้ไปเที่ยวทางภาคอีสานมาค่ะ ขากลับ พี่ๆพาแวะทานไก่ย่าง ส้มตำร้านอร่อย แถวๆอุดร เข้าไปในร้านทุกอย่างน่าทานไปหมดเลย โดยเฉพาะข้าวเหนียว ลาบ ส้มตำ ไก่ย่าง และที่ทำให้สะดุดมากๆคือ ผักที่ทางร้านนำมามาให้ทาน ไม่เคยเห้นมาก่อนค่ะ พี่ๆบอกว่ามันเป็นสมุนไพรรักษาโรคเบาหวานได้ด้วย หูผึ่งเลยค่ะ เพราะถ้ามีสรรพคุณดีจริงๆอย่างว่า คงเป็นประโยชน์กับคนไข้ของเรามากๆเลย
    แล้วก็อดไม่ได้ที่จะลองทานค่ะ อื่ม...อร่อยค่ะ รสชาดดี ไม่ฝาด มีกลิ่นหอมอ่อนๆ ยิ่งทานกับลาบ ส้มตำ เข้ากั้น เข้ากันค่ะ เลยต้องบอกแม่ค้าว่าขอผักนี้อีกจาน ทางร้านก็ใจดีมากๆค่ะ ยกมาให้ 1 จาน แปะตำปึงล้วนๆ มื้อนั่น อร่อยดีมีประโยชน์ค่ะ แถมด้วย อิ่มจัง ตังก์อยู่ครบ ซะด้วย
    พอมาถึงโคราช พี่เลยแวะไปเอาเจ้าต้นแปะตำปึง ใส่ถุงให้มาปลูกที่ปราณบุรีบ้านเรา พอมาถามเพื่อนๆไม่มีใครรู้จักเลยค่ะ เลยลองมาศึกษาหาข้อมูลเจ้าต้นนี้ดู สรรพคุณมากมายเกินคาดค่ะ อยากให้ลองอ่านกันดู เผื่อจะเป้นประโยชนืกันบ้าง สำหรับคนที่ทานผักง่าย คงจะบอกว่าอร่อย แน่นอนค่ะ
    หอบหิ้วมาไกล กว่าจะได้เอาลงกระถาง ก้ปาเข้าไป2วัน จนยอดเหี่ยวเฉา ไม่รู้จะเป็นหรือตายค่ะ แต่พี่เค้าบอกว่ามันตายยาก ก้เอาใจช่วยให้มันฟื้นคืนชีพโดยเร็วค่ะ จะได้เก้บใบมาทานบ้าง
    ชื่ออื่นๆ : แปะตำปึง หรือ จักรนารายณ์ สมุนไพรสรรพคุณครอบจักรวาล
    ต้นกำเนิด : ต้นยานี้มาจากประเทศจีน บางท่านเรียกว่า จินฉี่เหมาเยี่ย เข้ามา
    ในไทยพร้อมกับหญ้าปักกิ่งหรือหญ้าเทวดา แปะตำปึง ถูกตั้งชื่อเป็นไทยว่า
    จักรนารายณ์ แต่มีชื่อเรียกหลากหลาย เช่น กิมกอยมอเช่า หรือ ผักพันปี เป็นต้น
    ลักษณะ : เป็นไม้พุ่มเตี้ย ลำต้นสีเขียว แตกกิ่งก้านอ่อน หักง่าย เมื่อโตเต็มที่ใน
    ฤดูหนาว  จะออกดอกสีเหลืองมีก้านยาว มี 2 ชนิดคือ

    1. ชนิดใบกลม (แปะตำปึง)ใบสีเขียวอ่อน ใบหนาเพราะมีขนหนานุ่มแบบกำมะหยี่ทั้งด้าน
    บนและล่าง เส้นใบด้านบนลึกเช่นเดียวกับเส้นกลางใบแต่ด้านหลังใบกลับนูน กิ่งก้านออกเขียว
    ปนแดง เปราะหักง่าย (รูปของแบบใบกลมครับ)
    2. ชนิดใบยาว (จินฉี่เหมาเยี่ย) ใบค่อนข้างยาวกว่าแหลมกว่าและผิวใบค่อนข้างเรียบ
    เพราะขนน้อยกว่าแบบใบกลม จับเทียบดูจะรู้สึกได้ชัด (รูปของแบบใบยาวครับ)
    สรรพคุณ : สรรพคุณของทั้งสองมีเหมือนกัน มีรสเย็น ใช้ใบเป็นยา รสชาติคล้ายใบชมพู่
    สาแหรก โรคที่(มีผู้รับรองว่า)สมุนไพรชนิดนี้รักษาหายแล้วได้แก่ เบาหวาน ความดันสูง
    ภูมิแพ้ หอบหืด มะเร็ง งูสวัด เกาต์ ริดสีดวงทวารหนัก ขับนิ่ว แผลสะเก็ดเงิน แผลอักเสบ
    พุพอง-ฝีหนอง ปวดประจำเดือน ปวดเส้น ปวดหลัง ไขมันในเลือด ไทรอยด์ ตาอักเสบ
    ตาเป็นต้อ โรคตาต่างๆ ปวดเหงือก ปวดฟัน โรคกระเพาะอาหาร โรคหัวใจ โลหิตจาง
    ฟอกเลือด ล้างสารพิษในร่างกาย ขับลม กินได้ นอนหลับ คนปกติทั่วไปกินแล้วสุขภาพ
    แข็งแรง เรียกว่าเป็นสมุนไพรครอบจักรวาลเลยทีเดียว
    การขยายพันธุ์ : หลังจากเด็ดใบมากินหมดแล้ว ให้ตัดกิ่งออกเป็นท่อนๆยาว 10-15 ซ.ม
    . นำมาปักชำ ไว้ในที่รำไรและหมั่นรดน้ำเสมอๆ ประมาณ 7-10 วัน ก็จะแตกยอด-ออกราก
    เป็นต้นใหม่ เมื่อโตเต็มที่จะออกดอกสีเหลือง แต่ไม่ติดเมล็ด (ของพ่อด้วงเคยติดเมล็ดนะแต่
    เพาะไม่ขึ้น) ต้องปักชำกิ่งเท่านั้น พืชชนิดนี้ไม่ชอบร่มมากนัก ชอบดินร่วน ชอบแดดพอควร
    ชอบน้ำ แต่อย่าให้มีที่รองน้ำก้นกระถาง รากจะเน่า
    วิธีใช้ : เป็นพืชสมุนไพรครอบจักรวาลที่ไม่มีพิษภัย ใช้ใบสดๆ ล้างให้สะอาด ซับน้ำให้แห้ง นำมาเคี้ยวกินสดๆหรือใช้ประกอบอาหารกิน เช่นแกงจืดหรือผัดน้ำมัน หรือเป็นเครื่องเคียงกับ
    ขนมจีน ส้มตำ สลัดผัก ฯลฯได้ หรือจะนำใบมาล้าง ผึ่งแห้ง นำมาบดหรือตำ คั้นเอาแต่น้ำนำไป
    นึ่งให้สุก ปล่อยให้เย็น ใส่ขวด ใส่ตู้เย็นเก็บไว้ได้นาน แต่ที่ได้ผลดีที่สุด คือกินใบสด ก่อนเข้า
    นอน 3-5 ใบ
    วิธีใช้เฉพาะโรค :
    โรคเบาหวาน - กินใบสดๆ 2-5 ใบ ช่วงตี 5 -ถึง 7 โมงเช้าก่อนอาหาร เพราะลำไส้เริ่มทำงาน
    จะได้ผลเร็ว และกินอีกครั้งหลังอาหารเย็น 2-3 ชั่วโมงหรือกินก่อนนอน กินเช่นนี้นาน 7 วัน
    หยุดดูอาการ 2-3 วัน จึงกินต่อเพื่อน้ำตาลในเลือดจะได้ไม่ลดเร็วเกินไป (ขอเสริมตรงนี้นิดนึงว่า
    ปริมาณการกินของแต่ละคนอาจไม่เท่ากันขึ้นกับขนาดของใบและน้ำหนักตัว จึงขอให้คนป่วย
    เบาหวานทดลองกินจำนวนใบน้อยๆ ก่อนแล้วคอยดูอาการ เพราะเคยมีคนบอกว่าบางคนกิน
    แล้วน้ำตาลลดแบบฮวบฮาบ ซึ่งไม่รู้ว่ากินเยอะไปหรืออย่างไรและบางคนบอกว่าใบยาวลดน้ำตาล
    ได้มากกว่าแบบใบกลมด้วย และพืชชนิดนี้ยังไม่มีผลการวิจัยรองรับเป็นทางการ จึงควรใช้ด้วยการ
    ระมัดระวังไว้ก่อนล่ะดี)
    โรคตา - นำใบสดๆมาล้างให้สะอาด บด-โขลกในครกสะอาดๆ ให้แหลก แล้วนำมาพอกตาข้าง
    ที่อักเสบหรือมัว นาน 30 นาที ก่อนจะล้างออกด้วยน้ำ พอกเช้า-เย็น ตาจะดีขึ้นเร็วโรคความดัน
    สูง-ต่ำ
    มะเร็ง - ให้กินเป็นผัก เช่น จิ้มน้ำพริก ทุกวัน ถ้าเป็นมะเร็งกินก่อนนอน 5-7 ใบ ก่อนนอน ประมาณ
    6 เดือน มะเร็งจะลดขนาดลง
    งูสวัด - นำใบมาตำกับน้ำตาลทรายแดง เพื่อให้จับตัวเป็นก้อน ไม่หลุดง่าย พอกตรงรอยแผลไว้
    30 นาที หรือใช้น้ำคั้นทาก็ได้
    ริดสีดวงทวารหนัก - ตำใบสดแล้วใส่ในทวาร จะทำให้หายเร็ว ติ่งที่โผล่จะยุบ เลือดที่ออกจะหยุด
    โรคกระเพาะ - ถ้าปวดท้องและเป็นโรคกระเพาะ ให้กินเดี๋ยวนั้น สักพักอาการปวดจะหายไป
    ยังช่วยขับลมที่แน่นในท้องออกมาได้ด้วย
    สิ่งที่ควรระวัง- อาหารแสลง เช่น กุ้ง เนื้อ ปลาหมึก ปู ปลาทู ปลาร้า หูฉลาม กะปิ ข้าวเหนียว
    หน่อไม้ แตงกวา หัวผักกาด เผือก สาเก ของดอง แอลกอฮอล์ ชา-กาแฟ ควรงด แต่หากจำเป็น
    ต้องกิน ขอให้กินแปะตำปึง ก่อนหรือหลัง 2 ชั่วโมง
    การปลูกใช้เอง ไม่ควรใช้ยาฆ่าแมลง หรือถ้ามีการใช้ปุ๋ย ควรทิ้งไว้อย่างน้อย 1 อาทิตย์ก่อนเก็บใบ
    มาใช้ และควรล้างให้สะอาดๆก่อนนำมาใช้ โดยเฉพาะการพอกตา)

    ข้อมูลจาก นสพ.เดลินิวส์ ศุกร์ที่ 28 มกราคม 2548
    โดยทอม แม่โจ้ และผู้มีประสบการณ์ในการใช้
    ที่มาข้อมูล : http://www.pamame.com/magazine.html
    และขอขอบคุณ : พี่ณรงค์ เจ้าของโรงงานไอศรีม ธาราทิพย์ โคราช เป็นอย่างสูงที่ช่วยให้ข้อมูลและเป็นแรงบันดาลใจให้อยากทานพืชผักสมุนไพรเพิ่มขึ้น


ว่านดอกทอง


ว่านดอกทอง

ว่านดอกทอง เป็นว่านที่มีฤทธิ์รุนแรง และหายากยิ่ง 
ว่านที่จัดอยู่ในประเภทดอกทอง คือ ว่านดอกทอง (ว่านดอกทองแท้),ว่านดอกทองกระเจา ,ว่านมหาเสน่ห์ (รากราคะ) ,ว่านมาอุดม เป็น ว่านที่ผู้เล่นไสยเวทชอบแสวงหากันนัก เพื่อนำไปผสมกับผงวิเศษทำวัตถุมงคล เช่น พระเครื่อง เป็นต้น บางคนก็อยากได้ต้น เอาไปตั้งไว้ในร้านค้าเพื่อเรียกลูกค้า   บางคนก็อยากได้ดอกนำติดตัวเพื่อให้เพศตรงข้ามหลงใหล    แต่ก็หายากลำบาก ความหายากนั้นทำให้หาคนที่รู้จักของจริงแท้ยากด้วยเช่นกัน จึงมักถูกนักขายว่านนำว่านชนิดนั้นชนิดนี้มาหลอกขายให้เสมอ ซึ่งในวันนี้ข้าพเจ้าจะพูดถึง ว่านดอกทอง (ดอกทองแท้) ให้ทราบกันก่อน 

ดอกทองตัวเมีย มีอยู่จริงครับ 
ดอกของว่านดอกทอง
     
ความเชื่อตามตำราโบราณกล่าวว่า : ว่านดอกทองชนิดนี้มีอำนาจ มีสรรพคุณใช้ทางเสน่ห์มหานิยมแก่ผู้ปลูกผู้ใช้รุนแรงมาก โดยใช้ได้ทั้งต้น ใบ ดอก แต่ไม่นิยมให้มีดอกติดจนบาน ต้องเก็บดอกเสียก่อน ก่อนที่ดอกจะบาน เพราะแม้แต่น้ำที่รดต้นว่าน ถ้าใครได้สัมผัสจะมีผลทางกามา กามราคะในจิตจะกำเริบรุนแรงยิ่งโดยเฉพาะผู้หญิง
       ปัจจุบันนับว่าหายาก ที่พบเจอส่วนใหญ่มีแต่โดนหลอก ส่วนใหญ่ผู้มีคุณที่ทราบจะปกปิดเพราะเกรงว่าคนที่มีจิตใจต่ำทรามจะเอาไปใช้ ในทางไม่ดี  คนสมัยก่อนนิยมเก็บดอกของว่านดอกทองไว้หุงกับน้ำมันจันทน์ หรือ บดรวมกับสีผึ้ง โดยวิธีใช้ คือใช้น้ำมันทาตัว หรือใช้สีผึ้งสีปาก เมื่อถึงคราวจะต้องไปพบปะผู้คน ใครต่อคารมด้วย พอได้กลิ่นว่านในน้ำมันหรือสีผึ้ง มักใจอ่อนคล้อยตามได้ง่ายนับเป็นว่านที่เป็นเสน่ห์มหานิยมที่รุนแรงมาก



ลักษณะทั่วไป :โดยแบ่งเป็นว่านดอกทองตัวเมีย และว่านดอกทองตัวผู้  ลักษณะเป็นว่านดอกทองจะ มีหัว ลำต้นใต้ดินเป็นเหง้า เหง้าหลักเป็นรูปทรงกลม แตกแขนงเป็นไหลขนาดเล็ก เนื้อในหัวสีเหลือง (ตัวผู้) เนื้อในหัวสีขาว(ตัวเมีย ฤทธิ์แรงกว่า)ลำต้นและใบเหมือนขมิ้น  ใบเดี่ยวเรียงสลับ รูปใบหอก โคนใบมน ปลายใบแหลม มีสีเขียว เส้นกลางใบและกาบใบมีสีแดงระเรื่อ มีดอกสีขาว กลีบปากดอกสีขาวมีแถบกลางสีเหลือง  กลิ่นหอมเย็น(คาว) ซึ่งถ้าดูในภาพในหนังสือ "ว่านสมุนไพร ไม้มงคลไทย " เล่มละ 615 บาท มันจะเป็นดอกทองตัวผู้ซึ่งข้อแตกต่างที่เห็นได้ชัด คือ ว่านดอกทองตัวผู้มันจะมีเส้นกลางใบสีแดง ส่วนดอกทองตัวเมียต้นจะเล็กกว่ากาบใบจะมีสีแดงแต่ใบจะเป็นสีเขียวทั้งแผ่นดังภาพ


การปลูก ควรปลูกว่านดอกทองด้วยดินปนทรายรดน้ำมากๆ แต่ระวังอย่าให้ดินแฉะควรจัดวางให้ได้รับแสงแดดรำไรบ้างพอสมควร
^^! ถ้ายังดูไม่ออกก็ลองเปรียบเทียบดูจากภาพครับ

ว่านดอกทองตัวเมีย กาบจะมีสีแดงเรื่อแต่ใบจะ เบาๆพลิ้ว
มีสีเขียวทั้งใบมีเส้นเลาๆสีเขียวอ่อนแซม ตรงขอบใบมีสีเขียวอ่อน
ว่านดอกทองตัวเมีย
ว่านดอกทองตัวผู้ จุดตาย คือใบจะมันเงาเบาๆพลิ้วๆ มีเส้นกลางใบสีแดงครับ  

ดอกของว่านดอกทองตัวเมีย

ดอกของว่านดอกทองตัวผู้

       
อ้างถึง : ประสบการณ์ของ นายเกษตร จากหนังสือพิมพ์ไทยรัฐเขียนไว้ว่า
ผม ได้รับการบอกเล่าจากเพื่อนที่เปิดร้านค้าขายเล็กๆน้อยๆ เป็นธุรกิจในครอบครัว และได้ปลูกว่านตามความเชื่อที่มีสรรพคุณด้านเมตตามหานิยมตั้งไว้หน้าร้าน หลายชนิด เพื่อช่วยให้ค้าขายดี ซึ่ง หนึ่งในจำนวนนั้นมี ว่านดอกทองตัวเมีย รวมอยู่ด้วย เมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมา ว่านดอกทองตัวเมีย ได้ออก ดอก (ตามภาพประกอบคอลัมน์) ทีแรกไม่ได้นึกอะไร เพราะคิดว่าเป็นการออกดอกตามธรรมชาติ แต่ด้วยความเชื่อถือจึงอธิษฐานว่า ขอให้ถูกหวย และไปซื้อหวยบนดิน 3 ตัว บนแบบส่งเดช ไม่ได้เลือกเลขเด็ดอะไร พอหวยออก ปรากฏว่าถูกแบบเต็มๆ ได้เงินกว่า 3 หมื่นบาท เหลือเชื่อมาก จึงแจ้งให้ผมทราบ ส่วนที่นำมาเล่าต่อก็ไม่ได้ หวังให้เกิดความงมงาย บางครั้งความเชื่ออาจเป็นจริงได้” ดังนั้นทำใจให้อยู่กลางๆจะดีกว่า
ว่านดอกทองตัวเมีย หรือ “ว่านดินสอฤาษี เป็นไม้ล้มลุก มีหัวใต้ดินเป็รเหง้า ใบเป็นรูปรี ปลายแหลม โคนมน ลำต้นและใบสีเขียว ไม่มีสีแดงเจือปนเหมือนใบว่านดอกทอง หรือว่านดอกทองตัวผู้ หัว ของ “ว่านดอกทองตัวเมีย มีลักษณะกลมคล้ายดินสอ จึงถูกเรียกอีกชื่อว่า ว่านดินสอฤาษี เมื่อหักหรือผ่าจะได้กลิ่นคาว แบบเดียวกับว่านดอกทองชนิดอื่น หรือ ว่านดอกทองตัวผู้ แต่กลิ่นของ ว่านดอกทองตัวเมีย” จะแรงกว่ามาก ดอก ของ ว่านดอกทองตัวเมีย” เป็นสีขาว มีแต้มสีเหลือง (ว่านดอกทองหรือว่านดอกทองตัวผู้ ดอกเป็นสีเหลือง) ดอกมีกลิ่นคาวคล้ายกลิ่น “อสุจิ” ซึ่ง เชื่อว่าถ้าใครได้สูดดมกลิ่นดังกล่าวแล้ว จะกระตุ้นความต้องการทางเพศขึ้นมาแบบไม่มีสาเหตุ คนในยุคสมัยก่อนเชื่อถือกันมาก และยังเชื่อว่าเป็นว่านดีทางด้าน เมตตามหานิยม ร้านค้าขายมี ว่านดอก ทองตัวเมีย” ปลูกไว้หน้าร้านจะช่วยให้มีลูกค้าเข้าออกร้านไม่ขาด โดยเฉพาะสถานบันเทิง ร้านจำหน่ายเหล้าเบียร์ จะดีมาก ดอกออกช่วงฤดูร้อนต่อเนื่องต้นฤดูฝนทุกปี

 ปล.ทั้ง นี้ เมื่อท่านได้อ่านบทความแล้วกรุณาใช้วิจารณญาณ อย่าเชื่อและงมงายเพราะทุกอย่างจะสำเร็จได้มันอยู่ที่ความคิดความเชื่อความ ศรัทธาของแต่ละบุคคลด้วย จงเชื่อใน ตัวเอง การกระทำของตัวเอง แล้วทุกอย่างจะช่วยคุณเอง  อันนี้ผมเอาภาพมาให้เปรียบเทียบกันนะครับจะได้ดูและวิเคราะห์ได้ด้วยตัวเอง

ติดต่อพูดคุยแลกเปลี่ยนเรียนรู้ หรือ สนใจว่านติดต่อได้ที่ https://www.facebook.com/saimherbal
เบอร์โทร 09-06095124


แจ้งข่าวครับ 
ใครสนใจหนังสือว่าน สั่งจองได้ที่หน้า Facebook ที่ https://www.facebook.com/saimherbal หรือ โทร 09-06095124 

เนื่องจากในวันที่ 24 กรกฏาคม 2555 เป็นฤกษ์ออกหนังสือรวมเล่มบทความว่านที่ผมเขียนและศึกษาเองทั้งที่ยังไม่ได้เผยแพร่ออนไลน์และบทความว่านที่ออนไลน์ไปแล้วในเว็บของผมเองซึ่งต้องปรับแต่งเพิ่มเติม นับว่าเป็นหนังสือเล่มแรกของผม(ขายเองโดยไม่ผ่านสำนักพิมพ์ใดๆ)
โดยผมจะรวมเอาว่านที่ช่วยส่งเสริมในด้านค้าขายดี มีเสน่ห์เมตตามหานิยม และว่านหลักที่สำคัญๆ(ถ้าไม่หมดอาจจะมีเล่มสอง) ซึ่งจะประกอบไปด้วยเนื้อหา เรื่อง "ความเชื่อ คุณลักษณะของว่าน ภาพของว่าน(ภาพสี) เวทมนต์คาถาที่เกี่ยวข้องกับว่านแต่ละต้น ฤกษ์ปลูกและวิธีปลูกของแต่ละว่าน เคล็ดวิธีใช้ และคาถากำกับ ตลอดจนประสบการณ์ในการเล่นว่านทั้งของผมและของบุคคลที่ผมไปพบไปเจอมา(โปรดใช้วิจารณญาณ)"

**ใครสนใจสั่งจองได้ที่หน้า Facebook
 ที่ https://www.facebook.com/saimherbal หรือ โทร 09-06095124 พร้อมโอนเงินค่าจอง 245 บาท จากราคาเต็ม 545 บาทถ้วนครับ มาที่ ธนาคาไทยพาณิชย์ เลขที่บัญชี 869-2163327 สาขามหาวิทยาลัยอุบลราชธานี ชื่อบัญชี พีระพงศ์ ทองแสน จากนั้นส่งข้อมูลการจองโดยระบุ ชื่อ-นามสกุลที่อยู่และเบอร์โทรกลับด้วยนะครับ

**หมดเขตจองวันสุดท้าย คือวันที่ 15 มิถุนายน 2555 เท่านั้น ถ้าจองไม่ทันต้องรอจนกว่าจะมียอดจองครบ 1000 เล่มเท่านั้นครับถึงจะมีการพิมพ์ครั้งที่สอง

**พอหนังสือเสร็จเรียบร้อยแล้วผมจะแจ้งให้ทราบและขอให้ท่านโอนเงินส่วนที่เหลือเป็นจำนวนเงิน 300 บาทถ้วนมาให้ผม ก่อนที่เราจะส่งหนังสือด้วยวิธี EMS ให้ทุกท่านครับ

หมายเหตุ : หนังสือมีจำนวนจำกัดนะครับเพราะพิมพ์ครั้งแรกจองเท่าไหร่พิมพ์เท่านั้นครับ ครั้งที่สองต้องจองจนครบ 1000 เล่มเท่านั้นถึงจะมีการสั่งพิมพ์ เนื่องจากมีค่าใช้จ่ายสูงเพราะพิมพ์ เป็นภาพสีทั้งเล่ม ยกตัวอย่างถ้าพิมพ์ 1000 เล่ม ราคาต้นทุน อยู่ที่ประมาณ 344.82 สตางค์ต่อเล่มครับ ถ้าพิมพ์ 500 เล่นต้นทุนประมาณ 612 บาทครับ

10 ความคิดเห็น:

  1. ไม่ระบุชื่อ28 กุมภาพันธ์ 2555, 22:37
    จิงอ่ป่าว
    ตอบ
    คำตอบ
    1. ต้องลองครับ 555 เรื่องแบบนี้มันเป็นความเชื่อส่วนบุคคล
    2. อาจารย์เรามี เเต่เป็นเเบบสีผึ้ง ดอกนี้อาจารย์ไม่ได้บอก
  2. ไม่ระบุชื่อ29 มีนาคม 2555, 8:36
    ใช่ครับเป็นความเชื่อส่วนบุคคลครับ อิอิ
    ตอบ
  3. ไม่ระบุชื่อ5 พฤษภาคม 2555, 6:50
    จำหน่ายว่านดอกทอง รับประกันว่าของแท้ครับ
    http://yimpaen.com/webboard.php?w=nongorchid
    ตอบ
  4. ต้นเท่าไร่คับ
    ตอบ
  5. ไม่ระบุชื่อ5 มิถุนายน 2555, 7:05
    ได้มาต้นหนึ่งว่านดอกทองไม่รู้จริงหรึอป่าว
    ตอบ
  6. ไม่ระบุชื่อ7 มิถุนายน 2555, 6:54
    แนะนำ ผมไปได้ว่านดอกทองแท้ที่บางใหญ่มาครับ เจ้าของร้านชื่อเอกครับ เบอร์ 0805588919
    ตอบ
  7. ไม่ระบุชื่อ8 มิถุนายน 2555, 20:10
    เคยซื้อมาเลี้ยงหลายครั้งแล้ว จากรถเข็นที่เข็นมาขาย ลักษณะใบไม่เหมือนในตำรา (เกือบเหมือน) เลยไม่รู้ว่าใช่ป่าว ก็เลยเกิดความไม่ศรัทา ปล่อยตามธรรมชาติ (ตายหมด)
    ตอบ
  8. ไม่ระบุชื่อ11 กรกฎาคม 2555, 1:09
    ไม่ตายนะค่ะ ถ้าหมดช่วงหน้าฝนเข้าหนาวใบจะเริ่มร่วงเหมือนจะตาย ปล่อยใว้แบบนั้นแหละค่ะ พอเริ่มช่วงปลายหน้าร้อนถึงฝนต้นก็จะขึ้นมาใหม่ งอกงามเหมือนเดิม...
    ตอบ


รวมบทความทั้งหมด

ว่านมหาโชค

ว่านมหาโชค
ว่านมหาโชค ว่านมหามงคลหายาก